tag:blogger.com,1999:blog-49800092569640191052024-02-19T03:14:42.245-08:00ประเภทของเหล็กAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/02676185858470784276noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-4980009256964019105.post-5216087163210340562013-01-28T19:24:00.003-08:002013-01-28T19:24:44.822-08:00<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1n5GxNv26mJA3sUhiYNlMRHe_rMrquLV60bUDdNtCwIg8JDwBmliJbX9S0vjv0L40LYMbFzj7zM35LfQjwsyEclpky-XFMqL997hyFeEJh-psQtP-NVrDBVau1XeLZzT3jGaWIFoOC2KF/s1600/uw0j1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" closure_uid_79e94o="2" height="354" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1n5GxNv26mJA3sUhiYNlMRHe_rMrquLV60bUDdNtCwIg8JDwBmliJbX9S0vjv0L40LYMbFzj7zM35LfQjwsyEclpky-XFMqL997hyFeEJh-psQtP-NVrDBVau1XeLZzT3jGaWIFoOC2KF/s400/uw0j1.jpg" width="400" /></a></div>
<br /><span style="font-size: large;"><span>เราสามารถแบ่งเหล็กออกเป็นกลุ่มกว้างๆได้ 2 กลุ่ม โดยพิจารณาจากปริมาณของธาตุคาร์บอนที่มีอยู่ในเหล็ก โดยแบ่งออกได้เป็น</span> </span><br />
<div class="Section1" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">
<div class="MsoTitle">
<span><span lang="TH" style="color: blue;"><span style="font-size: large;"></span></span></span></div>
<ul>
<li><span style="font-size: large;"><span><b>เหล็กหล่อ</b> คือเหล็กที่มีปริมาณธาตุคาร์บอนมากกว่า 1.7% หรือ 2% ซึ่งเหล็กชนิดนี้จะขึ้นรูปได้ด้วยวิธีหล่อเท่านั้นเพราะปริมาณคาร์บอนที่สูงทำให้โครงสร้างมีคุณสมบัติที่แข็งแต่เปราะจึงไม่สามารถขึ้นรูปด้วยวิธีการรีดหรือวิธีทางกลอื่นๆได้ เรายังสามารถแบ่งย่อยเหล็กหล่อออกได้อีกหลายประเภท โดยพิจารณาจากโครงสร้างทางจุลภาค กรรมวิธีทางความร้อน ชนิดและปริมาณของธาตุผสม ได้แก่</span> </span></li>
</ul>
<blockquote>
<ol>
<li><span style="font-size: large;"><span> <b>เหล็กหล่อเทา (grey cast iron)</b> เป็นเหล็กหล่อที่มีปริมาณคาร์บอนและซิลิคอนสูง ทำให้มีโครงสร้างคาร์บอนอยู่ในรูปของกราฟไฟต์</span> </span></li>
<li><span style="font-size: large;"><span><b>เหล็กหล่อขาว (white cast iron)</b> เป็นเหล็กหล่อที่มีปริมาณซิลิคอนต่ำกว่าเหล็กหล่อเทา ทำให้ไม่เกิดโครงสร้างคาร์บอนในรูปกราฟไฟต์ โดยคาร์บอนจะอยู่ในรูปคาร์ไบด์ของเหล็ก (Fe<sub>3</sub>C) ที่เรียกว่า ซีเมนไตต์ เป็นเหล็กที่มีความแข็งสูงทนการเสียดสี แต่จะเปราะ</span> </span></li>
<li><span style="font-size: large;"><span> <b>เหล็กหล่อกราฟไฟต์กลมหรือเหล็กหล่อเหนียว (spheroidal graphite cast iron, ductile cast iron)</b> เป็นเหล็กหล่อเทาที่ผสมธาตุแมกนีเซียมและหรือธาตุซีเรียมลงไปในน้ำเหล็ก ทำให้กราฟไฟต์ที่เกิดเป็นกลุ่มและมีรูปร่างกลม ซึ่งส่งผลถึงคุณสมบัติทางกลในทางที่ดีชึ้น</span> </span></li>
<li><span style="font-size: large;"><span> <b>เหล็กหล่ออบเหนียว (malleable cast iron)</b> เป็นเหล็กหล่อขาวที่นำไปอบในบรรยากาศพิเศษเพื่อทำให้คาร์บอนในโครงสร้างคาร์ไบด์แตกตัวออกมารวมกันเป็นกราฟไฟต์เม็ดกลม และทำให้เหล็กรอบๆที่มีปริมาณคาร์บอนลดลงปรับโครงสร้างกลายเป็นเฟอร์ไรต์และหรือเพิร์ลไลต์ เหล็กชนิดนี้จะมีความเหนียวดีกว่าเหล็กหล่อขาว แต่จะด้อยกว่าเหล็กหล่อกราฟไฟต์กลมเล็กน้อย</span> </span></li>
<li><span style="font-size: large;"><span><b>เหล็กหล่อโลหะผสม (alloy cast iron)</b> เป็นเหล็กหล่อที่เติมธาตุผสมอื่นๆลงไปในปริมาณที่ค่อนข้างมาก เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติเฉพาะด้านให้ดียิ่งขึ้น เช่นเติมนิกเกิลและโครเมียมเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติด้านทนการเสียดสีและทนความร้อน เป็นต้น</span> </span></li>
</ol>
</blockquote>
<ul>
<li><span style="font-size: large;"><span><b>เหล็กกล้า</b> คือเหล็กที่มีปริมาณธาตุคาร์บอนน้อยกว่า 1.7% หรือ 2% เหล็กชนิดนี้มีความเหนียวมากกว่าเหล็กหล่อทำให้สามารถทำการขึ้นรูปโดยใช้กรรมวิธีทางกลได้ ทำให้เหล็กชนิดนี้ถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวาง จึงพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น เหล็กเส้น เหล็กแผ่น เหล็กโครงรถยนต์ ท่อเหล็กต่างๆ ฯลฯ เหล็กกล้าสามารถแบ่งได้เป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้</span> </span></li>
</ul>
<blockquote>
<ol>
<li><span style="font-size: large;"><span> <b>เหล็กกล้าคาร์บอน (carbon steel)</b> เป็นเหล็กที่มีคาร์บอนเป็นส่วนผสมหลัก โดยอาจมีธาตุอื่นผสมอยู่บ้างแต่ไม่ได้เจาะจงจะผสมลงไป มักติดมาจากกรรมวิธีการถลุงและการผลิต เราสามารถแบ่งย่อยกว้างๆออกได้ 3 ประเภทโดยพิจารณาตามปริมาณของธาตุคาร์บอนที่ผสม คือ</span> </span><ul>
<li><span style="font-size: large;"><span><i>เหล็กคาร์บอนต่ำ (low carbon steel)</i> เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำกว่า 0.2% เหล็กชนิดนี้มีความแข็งแรงต่ำสามารถรีดหรือตีเป็นแผ่นได้ง่าย ตัวอย่างเหล็กเช่น เหล็กเส้น เหล็กแผ่นที่ใช้กันทั่วไป</span> </span></li>
</ul>
<ul>
<li><span style="font-size: large;"><span><i>เหล็กกล้าคาร์บอนปานกลาง (medium carbon steel)</i> เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนอยู่ระหว่าง 0.2-0.5% เป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงกว่าเหล็กคาร์บอนต่ำ ใช้ทำชิ้นส่วนของเครื่องจักรกลทั่วไป เหล็กประเภทนี้สามารถทำการอบชุบความร้อนได้</span> </span></li>
</ul>
<ul>
<li><span style="font-size: large;"><span><i>เหล็กกล้าคาร์บอนสูง (high carbon steel)</i> เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนสูงกว่า 0.5% มีความแข็งแรงและความแข็งสูง สามารถทำการอบชุบความร้อนให้คุณสมบัติความแข็งเพิ่มขึ้นได้ ใช้ทำพวกเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่ต้องการผิวแข็งและความต้านทานการสึกหรอสูง</span> </span></li>
</ul>
</li>
<li><span style="font-size: large;"><span><b>เหล็กกล้าผสม (alloy steel)</b> เป็นเหล็กกล้าคาร์บอนที่มีธาตุอื่นผสมอยู่อย่างเจาะจงเพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงคุณสมบัติต่างๆ เช่น ความสามารถในการชุบแข็ง (hardenability) ความต้านทานการกัดกร่อน คุณสมบัติการนำไฟฟ้าและคุณสมบัติทางแม่เหล็กเป็นต้น ธาตุผสมที่เติมลงไป เช่น โครเมียม นิกเกิล โมลิบดินัม วาเนเดียม โคบอลต์ แมงกานีสและซิลิคอน โดยแมงกานีสและซิลิคอนจะต้องมีปริมาณมากพอสมควรจึงจะจัดได้ว่าเป็นเหล็กกล้าผสม เพราะในเหล็กกล้าคาร์บอนก็มีปริมาณธาตุทั้งสองผสมอยู่พอสมควร เราสามารถแบ่งย่อยกว้างๆออกได้ 2 ประเภทโดยพิจารณาตามปริมาณของธาตุผสม คือ</span> </span><ul>
<li><span style="font-size: large;"><span><i>เหล็กกล้าผสมต่ำ (low alloy steel)</i> เป็นเหล็กกล้าผสมที่มีปริมาณธาตุผสมน้อยกว่า 10%</span> </span></li>
</ul>
<ul>
<li><span><span style="font-size: large;"><i>เหล็กกล้าผสมสูง (high alloy steel)</i> เป็นเหล็กกล้าผสมที่มีปริมาณธาตุผสมสูงกว่า 10%</span></span></li>
</ul>
</li>
</ol>
</blockquote>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/02676185858470784276noreply@blogger.com0